5 ข้อมูลเชิงลึกและวิธีดำเนินการที่ทำให้การทำงานแบบ Hybrid เวิร์ก

สถานการณ์ปัจจุบันที่รูปแบบการทำงานได้เปลี่ยนไปเป็นการทำงานแบบ Hybrid ที่พนักงานสามารถทำงานทั้งจากที่ออฟฟิศหรือทำงานจากที่บ้าน (WFH) ก็ได้ หลายองค์กรยังคงใช้รูปทำงานแบบ Hybrid นี้กันอยู่หลังจากเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 ไปแล้ว และในองค์กรบางแห่งได้เผชิญกับความท้าทายในการปรับโมเดลการทำงานแบบ Hybrid นี้ ดังนั้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานแบบ Hybrid ที่ได้ผลดีนั้น ผู้นำองค์กรต้องให้ความสำคัญกับ Well-being ของพนักงาน การเชื่อมต่อผู้คนในองค์กร การทำงานร่วมกัน และความยืดหยุ่น จากรายงาน Microsoft Work Trend Index ให้ข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจเกี่ยวกับความท้าทายของการทำงานจากระยะไกลหรือ Remote Work ซึ่งรวมถึงภาวะหมดไฟในการทำงานหรือ Burnout การใช้งานเครื่องมือทางดิจิทัลที่มีมากจนเกินไป และความโดดเดี่ยวจากการแยกตัวจากเพื่อนร่วมงาน แต่อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้ยังกล่าวรวมไปถึงข้อดีซึ่งก็คือโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของพนักงานอีกด้วย

ให้การเชื่อมต่อกันในองค์กรเป็นเรื่องง่าย

สร้างการเชื่อมต่อกันระหว่างคนในองค์กรด้วย Recognition ไม่ว่าจะทำงานใกล้หรือไกลกัน

มาดูวิธีการใช้งานกัน!

5 ข้อมูลเชิงลึกและวิธีดำเนินการสำหรับผู้นำที่ทำพนักงานมีความสุขในการทำงานแบบ Hybrid

ในบทความนี้ เราสรุปข้อค้นพบที่สำคัญของรายงานฉบับนี้และให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริงสำหรับผู้นำองค์กร โดยมี 5 ข้อค้นพบที่มาพร้อมกับข้อมูลเชิงลึกและวิธีดำเนินการสำหรับผู้นำ ที่ช่วยให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบ Hybrid ได้ดังต่อไปนี้

  1. การทำงานแบบ Hybrid ที่คงอยู่: รายงานพบว่า 73% ของผู้ตอบแบบสำรวจต้องการตัวเลือกการทำงานแบบ Remote ที่ยืดหยุ่นเพื่อการทำงานหลังการแพร่ระบาด บริษัทที่ยังคงมีรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid มักจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันในการดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถระดับสูงหรือ Top Talent ไว้กับองค์กร

    ข้อมูลเชิงลึก: องค์กรควรพิจารณาเสนอตัวเลือกการทำงานแบบ Hybrid เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดงานได้

    วิธีดำเนินการ: ผู้นำควรประเมินนโยบายการทำงานจากระยะไกลหรือ Remote Work ของบริษัท และพิจารณาการนำโมเดลแบบ Hybrid Work มาใช้ ซึ่งช่วยสร้างสมดุลระหว่างการทำงานในออฟฟิศและการทำงานจากระยะไกล
  2. ภาวะ Burnout เป็นปัญหาที่แท้จริง: รายงานพบว่า 41% ของพนักงานรู้สึกทำงานหนักเกินไป และ 46% รู้สึกเหนื่อยล้า การทำงานจากระยะไกลทำให้เส้นแบ่งระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวพร่ามัว และเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรจะต้องจัดการกับการ Burnout ที่เกิดขึ้นของพนักงาน

    ข้อมูลเชิงลึก: การจัดการกับการ Burnout ของพนักงานสามารถนำไปสู่พนักงานที่มี Productivity และมีส่วนร่วมหรือ Engagement มากขึ้น

    วิธีดำเนินการ: ผู้นำควรกระตุ้นและส่งเสริมให้พนักงานหยุดพักและกำหนดขอบเขตระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัว นอกจากนี้ องค์กรยังสามารถนำเสนอแหล่งข้อมูลและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตแก่พนักงานได้อีกด้วย
  3. การเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ: จากรายงานพบว่าการทำงานจากระยะไกลสามารถนำไปสู่ความรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดการเชื่อมต่อระหว่างเพื่อนร่วมงานได้ โดยพนักงาน 67% ต้องการทำงานในออฟฟิศหรือมีการทำงานร่วมกันเพื่อนร่วมงานแบบเจอกันหลังจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิด แต่อย่างไรก็ตาม การทำงานจากระยะไกลยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้ติดต่อกับเพื่อนร่วมงานจากทั่วโลก

    ข้อมูลเชิงลึก: ผู้นำควรจัดลำดับความสำคัญของทั้งการเชื่อมต่อระหว่างคนในองค์กรและการทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานทางไกลในเชิงบวก

    วิธีดำเนินการ: ผู้นำควรใช้เครื่องมือและแนวทางปฏิบัติเพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงาน เช่น การประชุมทีมอย่างสม่ำเสมอและกิจกรรมกลุ่มหรือทีมทางออนไลน์
  4. การใช้เครื่องมือทางดิจิทัลที่มากเกินไปเป็นสิ่งที่ท้าทาย: รายงานพบว่าการทำงานจากระยะไกลนำไปสู่การใช้เวลากับเครื่องมือสื่อสารทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น โดยมีการใช้เวลาในการประชุมรายสัปดาห์ที่เพิ่มมากขึ้นถึง 252% สำหรับผู้ที่ใช้งาน Microsoft Teams เฉลี่ย เทียบข้อมูลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 และการใช้ช่องทางแชทเพิ่มมากขึ้น 32% ต่อคนตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2020 ซึ่งอาจมากเกินไปและนำไปสู่การ Burnout ของพนักงานได้

    ข้อมูลเชิงลึก: องค์กรควรจัดลำดับความสำคัญของเครื่องมือสื่อสารดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพเพื่อจุดมุ่งหมายในการลดภาระงานของพนักงาน

    วิธีดำเนินการ: ผู้นำควรประเมินประสิทธิภาพของเครื่องมือสื่อสารดิจิทัลของบริษัท และพิจารณาลดความซับซ้อนของกระบวนการหรือเสนอการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการใช้เครื่องมือทางดิจิตัลอย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ความยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญ: รายงานพบว่าพนักงานให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในตารางการทำงานและสถานที่ทำงาน และองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นมีแนวโน้มที่จะมีพนักงานที่มีส่วนร่วมและมี Productivity มากกว่า โดยพนักงาน 62% กล่าวว่าพวกเขามีการทำงานที่ Productive มากขึ้นเมื่อพวกเขามีทางเลือกในการทำงานที่ยืดหยุ่น และผู้นำองค์กรกว่า 67% เชื่อว่านโยบายการทำงานแบบยืดหยุ่นช่วยรักษาพนักงานคนเก่งให้อยู่ต่อกับองค์กร ดังนั้นการสนับสนุนกับการทำงานแบบยืดหยุ่นจึงช่วยเรื่องการทำงานแบบ Hybrid ให้ได้ผลดีกับองค์กร

    ข้อมูลเชิงลึก: องค์กรควรจัดลำดับความสำคัญของความยืดหยุ่นเพื่อดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถระดับสูงไว้

    วิธีดำเนินการ: ผู้นำควรพิจารณาเสนอตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นและตัวเลือกการทำงานจากระยะไกลเพื่อส่งเสริมสมดุลในชีวิตการทำงาน (Work-life Balance) ที่ดีให้กับพนักงาน

บทสรุป

จากรายงาน Microsoft เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานแบบ Hybrid ที่ประสบความสำเร็จและได้ผลเป็นอย่างดี ด้วยการให้ความสำคัญในเรื่อง Well-being ของพนักงาน การเชื่อมต่อของคนในองค์กร ความร่วมมือในการทำงาน และความยืดหยุ่น ดังนั้นผู้นำองค์กรต้องดำเนินการจัดการกับเรื่องการ Burnout ของพนักงาน การใช้เครื่องมือทางดิจิตัลอย่างมีประสิทธิภาพ และการเสนอทางเลือกในการทำงานแบบยืดหยุ่นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดผู้มีความสามารถระดับสูงหรือ Top Talent ด้วยการนำข้อมูลเชิงลึกและวิธีดำเนินการเหล่านี้ไปใช้ ซึ่งทำให้องค์กรสามารถส่งเสริมให้พนักงานมี Productivity และมีส่วนร่วมกับองค์กรมากยิ่งขึ้นได้

ในฐานะผู้นำองค์กร จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของพนักงานของคุณและส่งเสริมให้พวกเขาสามารถรับมือกับความท้าทายของการทำงานระยะไกลนี้ได้ ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี แล้วคุณจะสามารถพัฒนาความพึงพอใจ การรักษาพนักงานให้อยู่ต่อกับองค์กร และ Productivity ของพนักงานให้ดียิ่งขึ้นได้ ดังนั้น เรามาใช้โอกาสของการทำงานแบบ Hybrid นี้ และลงมือดำเนินการเพื่อช่วยให้พนักงานของเราทำงานกันอย่างมีความสุขกันเถอะ!