5 ขั้นตอนสู่การมีสุขภาพจิตและ Well-being ที่ดีในที่ทำงาน
จากงานวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า 42% ของพนักงานทั่วโลกกำลังประสบปัญหาการมีสุขภาพจิตที่แย่ลงตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 และนายจ้างกว่า 90% กล่าวว่าโควิด-19 มีผลต่อ Well-being หรือ ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน และประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน หากคุณกำลังรู้สึกว่า Well-being ในที่ทำงานของคุณนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำ คุณสามารถนำวิธีเหล่านี้ไปใช้เพื่อช่วยเพิ่มระดับ Well-being ในที่ทำงานและเพื่อที่จะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้
1. มีการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงาน
ความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน มีความสำคัญต่อสุขภาพจิตในที่ทำงานของคุณอย่างมาก เพราะความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้คุณเห็นคุณค่าในตนเอง เปิดโอกาสให้คุณได้แบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ กับผู้อื่น เพื่อนร่วมงานยังสามารถให้การสนับสนุนทางอารมณ์กับคุณ และคุณก็สามารถเป็นคนที่ให้การสนับสนุนทางอารมณ์กับผู้อื่นได้ด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะเพิ่มการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงาน คุณอาจทำสิ่งเหล่านี้:
- ใช้เวลากินข้าวกับเพื่อนร่วมงานที่ออฟฟิศ
- ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการติดต่อกันเมื่อต้องทำงานแบบระยะไกล
- ให้ความช่วยเหลือกับเพื่อนร่วมงานที่กำลังต้องการการสนับสนุน
2. เคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ
การเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของคุณเท่านั้น หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวร่างกายสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของคุณได้โดยช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ช่วยให้ได้คุณกำหนดเป้าหมายหรือความท้าทายและบรรลุเป้าหมายนั้น และการออกกำลังกายหรือการขยับตัวยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง ซึ่งสามารถช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของคุณไปในทางบวกได้ คุณสามารถทำให้การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นกิจวัตรได้โดย:
- ลุกออกจากที่นั่งเพื่อยืดเหยียดร่างกายบ้างขณะทำงาน
- ใช้การเดินแทนที่จะใช้รถเมื่อต้องไปสถานที่ใกล้ ๆ
- ตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง เช่น คุณจะออกกำลังกาย 3 วันต่อสัปดาห์
3. เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทั้งในและนอกสถานที่ทำงานสามารถปรับปรุงสภาพจิตใจของคุณให้ดีขึ้นได้โดยเพิ่มความมั่นใจและความนับถือในตัวเอง ช่วยสร้างความรู้สึกของการมีเป้าหมายในการทำงานและการใช้ชีวิต และช่วยให้คุณมีการเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ดีมากยิ่งขึ้น คุณอาจใช้วิธีเหล่านี้ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ:
- ลองรับผิดชอบหน้าที่ใหม่ในที่ทำงาน เช่น การให้คำปรึกษากับพนักงานรุ่นน้อง
- ทดลองงานอดิเรกใหม่ ๆ ที่คุณรู้สึกว่าน่าสนใจและมีความท้าทาย
- สมัครเรียนคอร์สออนไลน์ เช่น การเรียนภาษาใหม่หรือทักษะใหม่ที่ใช้งานได้จริง
4. รู้จักให้ผู้อื่น
การให้และความมีเมตตา ซึ่งอาจเป็นการแสดงน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อผู้อื่น หรือการกระทำที่ยิ่งใหญ่กว่า เช่น การเป็นอาสาสมัครในชุมชน สามารถช่วยให้สุขภาพจิตของคุณดีขึ้นได้โดยสร้างความรู้สึกในเชิงบวกและความรู้สึกของการได้รับรางวัล ให้ความรู้สึกถึงการมีจุดมุ่งหมายและคุณค่าในตัวเอง และช่วยให้คุณมีโอกาสในการเชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ มากขึ้น คุณสามารถเริ่มทำสิ่งนี้ได้ด้วยวิธีเหล่านี้:
- ให้การชื่นชมยอมรับกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าคนเก่ง
- ใช้เวลากับเพื่อนร่วมงานที่ต้องการความช่วยเหลือหรือต้องการการรับฟัง
- แบ่งปันความรู้หรือทักษะที่มีกับเพื่อนร่วมงานเพื่อช่วยให้พวกเขาได้พัฒนา
5. มีสติอยู่กับปัจจุบัน
การจดจ่ออยู่กับช่วงเวลาปัจจุบันทั้งความคิด ความรู้สึก ร่างกาย และสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณมากขึ้น สามารถช่วยพัฒนาสุขภาพจิตของคุณได้ การมีสติสามารถช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น และยังสามารถช่วยให้คุณรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้น คุณสามารถฝึกให้ตัวเองมีสติมากยิ่งขึ้นด้วยการทำสิ่งเหล่านี้:
- จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน
- เริ่มต้นวันใหม่ในทุก ๆ วันด้วยการนั่งสมาธิเพียง 10 นาที
- จดจ่อกับงานทีละงานและทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีสิ่งรบกวน
- จดบันทึกความรู้สึกและความคิดเมื่อรู้สึกวุ่นวายใจ
สุขภาพจิตของคุณเป็นส่วนสำคัญของความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ในที่ทำงาน สุขภาพจิตที่ดีจะนำไปสู่ความสามารถในการรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น การมองตัวเองในเชิงบวก ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง การทำงานที่ดีขึ้น จนไปถึงการมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นอีกด้วย ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเริ่มหันกลับมาใส่ใจสุขภาพจิตและ Well-being ของคุณ
→ ดูผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของเกณฑ์มาตรฐานระดับ Well-being ได้เพิ่มเติมที่ Employee Well-Being Handbook
เอกสารอ้างอิง
https://sumrej.com/mindfulness-at-work-5-ways-to-improve-your-productivity-4-2020/