เข้าใจความแตกต่างและเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจด้วย OKR กับ KPI
การตั้งเป้าหมายและการวัดผลการทำงานมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเพิ่มความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน สองเฟรมเวิร์กยอดนิยมสำหรับการกำหนดเป้าหมาย ติดตามความคืบหน้าในการทำงาน และวัดความสำเร็จของงาน คือ OKR (Objective and Key Result - วัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลัก) และ KPI (Key Performance Indicator - ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก) การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างเฟรมเวิร์กทั้งสองนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับกระบวนการกำหนดเป้าหมายและการติดตามประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานให้เหมาะสม
OKR คืออะไร?
OKR คือเฟรมเวิร์กที่มีชื่อเสียงสำหรับกำหนดเป้าหมายและการติดตามผลการทำงานที่ Google ใช้งานอยู่ โดย OKR ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ๆ ได้แก่
- วัตถุประสงค์ เป็นเป้าหมายโดยรวมที่องค์กรต้องการที่จะทำให้สำเร็จ
- ผลลัพธ์หลัก เป็นผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง สามารถวัดผลได้ และมีระยะเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจน ซึ่งผลลัพธ์นี้จะแสดงถึงความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
โดยปกติแล้ว OKR จะกำหนดเป็นรายไตรมาสและได้รับการออกแบบให้มีเป้าหมายที่สูงและสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อกระตุ้นให้พนักงานทำงานได้เกินกว่าความสามารถของตนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
KPI คืออะไร?
KPI เป็นเฟรมเวิร์กการวัดประสิทธิภาพการทำงานที่ติดตามความคืบหน้าของงานเทียบกับเมตริกเฉพาะที่สำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร โดยที่
- KPI มักจะผูกกับเป้าหมายเฉพาะแผนกหรือเฉพาะทีมเพื่อเชื่อมโยงกับเป้าหมายโดยรวมขององค์กร
- KPI จะคอยติดตามดูความคืบหน้าของงานเมื่อเวลาผ่านไป
- KPI จะบอกถึงสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
- KPI มักจะติดตามความคืบหน้าของงานเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน
ความแตกต่างระหว่าง OKR และ KPI
OKR |
KPI |
---|---|
มุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง | วัดประสิทธิภาพการทำงานเทียบกับเมตริกซ์หรือตัวชี้วัดที่เฉพาะเจาะจง |
ปกติจะทำการติดตามผลทุก ๆ ไตรมาส | มักจะติดตามผลเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน |
เป้าหมายค่อนข้างสูงและกระตุ้นแรงบันดาลใจ | เป้าหมายสมเหตุสมผลและสามารถทำให้สำเร็จได้มากกว่า |
สอดคล้องกับเป้าหมายในภาพรวมขององค์กร | มักจะผูกเป้าหมายกับเฉพาะแผนกหรือเฉพาะทีม |
การรวมเฟรมเวิร์ก OKR และ KPI เพื่อการบริหารจัดการประสิทธิภาพองค์กรที่ครอบคลุมทุกด้าน
แม้ว่า OKR และ KPI จะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็สามารถนำมาใช้งานร่วมกันเพื่อช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายได้ โดยที่ OKR จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่องค์กรต้องการบรรลุ ในขณะที่ KPI นำเสนอมุมมองที่ละเอียดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความคืบหน้าของงานตามเป้าหมายเหล่านั้น
ตัวอย่างการใช้งาน OKR และ KPI ร่วมกัน
- ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์
OKR: เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายในสิ้นไตรมาส
KPI: ติดตามจำนวน Bugs หรือข้อผิดพลาดที่ตรวจจับได้และต้องแก้ไขต่อสัปดาห์ - ทีมบริการลูกค้า
OKR: ปรับปรุงเวลาในการตอบคำถามของลูกค้าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนในไตรมาสถัดไป
KPI: ติดตามเวลาโดยเฉลี่ยในการตอบกลับคำถามของลูกค้า - ทีมการตลาด
OKR: เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ 50% ในไตรมาสถัดไป
KPI: ติดตามจำนวนโอกาสในการขายที่สร้างขึ้นต่อสัปดาห์ - ทีมขาย
OKR: เพิ่มรายได้ 50% ในไตรมาสถัดไป
KPI: ติดตามจำนวนการโทรออกหรือส่งอีเมลต่อสัปดาห์
การใช้ OKR และ KPI ร่วมกัน องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งยังคงมีความท้าทาย สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นพนักงานของตนเอง
บทสรุป
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OKR และ KPI เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการกำหนดเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่า OKR และ KPI จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันและตอบสนองวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองเฟรมเวิร์กนี้ก็ช่วยเสริมซึ่งกันและกันและสามารถใช้ร่วมกัน เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพขององค์กร ด้วยการใช้ OKR และ KPI องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งยังคงท้าทาย สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นพนักงาน และทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนรับผิดชอบต่อความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายเหล่านั้นด้วย