[กรณีศึกษา] Happily.ai สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ SME ได้อย่างไร?

การทำงานในบริษัท SME นั้น เรามักจะได้เห็นการพยายามบริหารจัดการที่ดูง่ายๆ หลายที่ก็ไม่ได้มีความเป็นระบบมากนัก โดยลูกจ้างมักจะมีความใกล้ชิดกับนายจ้างสูงมากกว่าการทำงานในระบบของบริษัทขนาดใหญ่ และความเป็นทางการต่างๆก็จะน้อยยิ่งกว่าการทำงานในแบบ Startup ลงไปอีก รวมไปถึงเรามักจะได้ยินกว่า ที่นี่อยู่กันแบบพี่น้อง อยู่กันแบบครอบครัว จนกลายเป็นมุขที่มักจะถูกนำไปล้อกันตามเพจธุรกิจทั้งหลายแหล่ทั่ว Social Media

แต่ก็เช่นนั้นแหละ การอยู่ด้วยกันอย่างเป็นกันเองนั้น ก็มักจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เข้าใจ หรือยากแก่การเข้าใจของนายจ้าง เช่น นายจ้างรู้สึกว่ามีการเลี้ยงดูลูกจ้างที่ดีอยู่แล้ว แต่อยู่ๆลูกน้องมาลาออก หรือหายจากที่ทำงานไปเลย โทรไปตามก็ว่าไปทำอยู่ที่ใหม่แล้ว หรือยิ้มแย้มทำงานอยู่ทุกวัน แต่ลูกค้ามาร้องเรียนว่า ทำงานหน้าบูดบึ้งไม่โอเคมาก จนน่าประหลาดใจ

นั่นก็เพราะ คุณไม่อาจจะอ่านใจลูกน้องได้ คุณอ่านไม่ได้แม้แต่จากภายนอก และการทำงานอย่างใกล้ชิดกัน ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะมีความเข้าใจในพวกเขาแบบ 100% ถ้าจะเปรียบเทียบให้ถูกก็คล้ายเหมือนกับในครอบครัว ที่คุณอาจจะอยู่กับคู่ครอง หรือลูกหลานทุกวัน แต่คุณก็ไม่อาจจะรู้ใจพวกเขาได้เลยว่ากำลังคิดจริงๆอยู่เช่นใด?

เคสเช่นนี้เกิดขึ้นในธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมาก และวันนี้ ทางเราก็ได้มีกรณีศึกษาว่า Happily.ai เข้ามาช่วยอุดช่องว่างนี้ ในกิจการขนาดเล็กระดับ SME ช่วยถมช่องว่างความเข้าใจกันระหว่าง นายจ้าง กับ ลูกจ้าง ได้อย่างไร จากกรณีศึกษาถึงปัญหาที่ธุรกิจขนาดเล็กเช่น โรงพยาบาลสัตว์ Smile Pet ที่เป็นโรงพยาบาลเล็กๆสำหรับสัตว์เลี้ยงในชุมชน ที่เน้นที่การบริการด้วยใจ ด้วยรอยยิ้ม เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้ใช้บริการ รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงน่ารักทั้งหลาย โดยในโรงพยาบาลนั้น คุณหมอเจ้าของกิจการก็มักจะมีความคุ้นเคยใกล้ชิดกับลูกจ้างทุกคน ตั้งแต่ระดับแม่บ้าน พนักงานคิดเงิน ไปจนถึงสัตวแพทย์ทุกนาย

แต่ในความใกล้ชิด ก็มีช่องว่างบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่ ซึ่งเมื่อแก้ไขแล้วก็ได้ส่งผลต่อบรรยากาศและประสิทธิภาพการทำงานในภาพรวมอย่างมาก

เราขอชวนคุณมาเรียนรู้จาก Infographic ฉบับนี้กัน

จะเห็นได้ว่า แม้แต่องค์กรระดับ SME นั้น Happily.ai ก็สามารถช่วยอุดช่องว่างต่างๆได้มากมาย

ทดลองใช้ได้ฟรีทันที! เพียงลงทะเบียนกับเรา:

คลิ๊กเพื่อลงทะเบียนทดลองใช้งาน