ผู้นำองค์กรที่เก่งและครองใจคนในองค์กร พวกเขาทำกันอย่างไร

รูปแบบของภาวะการเป็นผู้นำ


บทบาทที่สำคัญและมีผลกระทบต่อองค์กรอย่างมากบทบาทหนึ่งก็คือ ผู้นำ การเป็นผู้นำนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเป็นผู้นำที่สามารถพาทีมหรือองค์กรไปในทิศทางที่ประสบความสำเร็จและครองใจคนในทีมหรือองค์กรนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน และภาวะการเป็นผู้นำมีหลากหลายรูปแบบ โดยที่ทีมบทบรรณาธิการของ Indeed แบ่งผู้นำในที่ทำงานออกเป็น 10 รูปแบบ คือ รูปแบบการโค้ช (Coaching style), รูปแบบการมีวิสัยทัศน์ (Visionary style), รูปแบบผู้ให้บริการ (Servant style), รูปแบบเผด็จการ (Autocratic style), รูปแบบปล่อยให้ทำ (Laissez-faire style), รูปแบบประชาธิปไตย (Democratic style), รูปแบบผู้นำหน้า (Pacesetter style), รูปแบบการเปลี่ยนแปลง (Transformational style), รูปแบบการดำเนินการ (Transactional style), และรูปแบบข้าราชการ (Bureaucratic style) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละรูปแบบได้ที่นี่

ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ: ผู้นำที่ใจดี กับ ผู้นำที่เข้มงวด


ผู้นำมีหลายรูปแบบ สิ่งสำคัญหลัก ๆ คือผู้นำที่พนักงานชอบนั้นเป็นผู้นำที่เป็นคนใจดี หรือผู้นำที่มีความเข้มงวด โดยผู้นำส่วนใหญ่คิดว่าต้องเลือกระหว่างการเป็นผู้นำที่ใจดี กับการเป็นผู้นำที่เข้มงวด สิ่งนี้เป็นการแบ่งแยกที่ผิดที่คิดว่าความใจดีเห็นอกเห็นใจกัน และการตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ ของการเป็นผู้นำไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำสิ่งยาก ๆ เป็นสิ่งที่คนต้องทำมากที่สุด โดยมีส่วนประกอบสำคัญ ๆ ในการทำสิ่งยาก ๆ ของผู้นำ 2 สิ่งคือ สติปัญญา (Wisdom) และความเห็นอกเห็นใจ (Compassion)

จากบทความ HBR Rasmus Hougaard และ Jacqueline Carter ได้ให้คำนิยามของ สติปัญญา ว่าเป็นความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่จูงใจผู้คนและส่งเสริมให้มีความโปร่งใส และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องทำแม้ว่าจะไม่สบายใจที่จะทำก็ตาม ส่วน ความเห็นอกเห็นใจ ถูกนิยามว่าเป็นคุณภาพของการแสดงความห่วงใยต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ หรือมีความตั้งใจในเชิงบวกที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนผู้อื่น

นอกจากนั้นยังมีงานการศึกษาข้อมูลของ Rasmus และ Jacqueline โดยศึกษาจากผู้นำองค์กรและพนักงานจากกว่า 5,000 บริษัท ในเกือบ 100 ประเทศ แสดงให้เห็นถึงพลังที่เหลือเชื่อของสติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจ โดยที่พนักงานที่มีผู้นำที่แสดงออกถึงการมีสติปัญญาหรือความเห็นอกเห็นใจอย่างใดอย่างหนึ่ง จะได้รับประสบการณ์เชิงบวก  พนักงานรู้สึกสนุกและมีส่วนร่วมกับงานของตนเองและมักจะไม่ค่อย Burnout หรือหมดไฟในการทำงาน และเมื่อผู้นำที่แสดงออกให้เห็นถึงทั้งการมีสติปัญญาหรือความเห็นอกเห็นใจ สิ่งนี้ส่งผลต่อสุขภาพที่ดีและประสิทธิภาพการทำงานที่ดีของพนักงานอย่างเห็นได้ชัด โดยที่พนักงานมีความพึงพอใจในงานสูงถึง 86% ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการเป็นผู้นำที่มีทั้ง สติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจ นั้นย่อมดีกว่ามีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง

การเป็นผู้นำที่มีทั้ง สติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน ซึ่งขั้นตอนแรกที่สำคัญคือ ลืมไปก่อนว่าความเป็นผู้นำหมายถึงอะไรและมาเรียนรู้อีกครั้งว่าอะไรคือความเป็นมนุษย์ (ในมุมมองของการเป็นผู้นำ) หรือกล่าวได้ง่าย ๆ ว่า ภาวะผู้นำนั้นเกี่ยวกับการมองเห็นการรับฟังผู้อื่น การกำหนดทิศทาง แล้วปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

Chris Toth, CEO ของบริษัทเครื่องมือทางการแพทย์ Varian กล่าวว่า ถ้าคุณเริ่มคิดว่าอะไรที่เป็นบทบาทของเราในฐานะผู้นำ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย และบทบาทของเราไม่ใช่คนที่ตัดสินใจหรือเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้อง จริงๆ แล้วมันค่อนข้างอันตรายถ้าการตัดสินใจหันไปหาผู้นำอยู่เสมอ คุณต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งความเห็นอกเห็นใจและการให้อำนาจในการตัดสินใจที่ยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลาย สิ่งนี้ช่วยปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ ผลการทำงาน และความสุขของคน

วิธีครองใจคนสำหรับผู้นำ


เพื่อส่งเสริมแนวทางการเป็นผู้นำที่มีทั้งสติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจนี้ สำคัญอย่างยิ่งที่ต้องยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์ที่ต้องการเชื่อมต่อกับผู้อื่นที่เป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับเรา และมี 4 วิธีที่ครองใจคนได้ในฐานะผู้นำ ได้แก่

  1. จดจำกฎเหล็กที่ว่า “จงปฏิบัติกับผู้อื่นเหมือนกับที่คุณต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติกับคุณ”
    ความเห็นอกเห็นใจ เป็นความต้องการที่จะเห็นผู้อื่นมีความสุขและความพร้อมที่จะลงมือทำเพื่อช่วยให้เกิดสิ่งนี้ และจากกฎเหล็กที่กล่าวถึงในหัวข้อนี้ เป็นขั้นตอนที่มีประโยชน์สำหรับการลงมือทำเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจ เพราะสิ่งนี้ทำให้ผู้คนต้องพิจารณาถึงมุมมองของผู้อื่น เมื่อเราสามารถเข้าใจความรู้สึกในมุมมองของผู้อื่นแล้วเราก็จะสามารถมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับความท้าทายที่เกิดขึ้น (โดยไม่มีอคติจากมุมมองของตนเองเพียงอย่างเดียว) เราสามารถใช้เวลาขณะหนึ่งเพื่อยอมรับว่า เรามีมุมมองหนึ่งต่อเหตุการณ์นั้นๆ แต่อาจมีมุมมองของผู้อื่นที่แตกต่างกันไปจากเหตุการณ์เดียวกันก็ได้ แม้ว่าการมองในมุมของคนอื่นมันดีสำหรับการสะท้อนความคิดของตนเอง แต่สิ่งสำคัญที่ต้องหลีกเลี่ยงคือความคิดที่ว่าคุณรู้ว่าคนอื่นรู้สึกหรือประสบพบเจออะไรมา โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมการทำงานที่หลากหลายในปัจจุบัน เราต้องสร้างความสมดุลในการมองในมุมมองของผู้อื่น โดยไม่ทึกทักว่าเราเข้าใจความจริงของคนอื่น ซึ่งสิ่งนี้เองต้องการการรับฟังที่ดีและตั้งใจ
  2. ฟังอย่างตั้งใจ ดังคำกล่าวที่ว่า มนุษย์เรามีสองหูหนึ่งปาก สิ่งนี้หมายถึง เราสามารถหรือควรรับฟังมากเป็นสองเท่ากว่าที่เราพูด
    เมื่อเรารับฟังผู้อื่นอย่างแท้จริงแล้วพวกเขาจะรู้สึกได้ถึงการรับฟังและมองเห็น ซึ่งตอบสนองความต้องการพื้นฐานหนึ่งของมนุษย์ ถ้าคุณรับฟังอย่างตั้งใจที่มีการเปิดใจและเต็มใจที่จะเรียนรู้ นี่ไม่เพียงที่จะทำให้คุณฉลาดขึ้นแต่ยังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างแท้จริง คุณต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวถ้าคุณมีบทสนทนาที่สำคัญขึ้นมา สิ่งนี้อาจหมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่คุณสามารถแสดงให้เห็นถึงความตั้งอกตั้งใจในการรับฟังได้อย่างเต็มที่และอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการหรือรู้สึก มากกว่าการที่ไปโฟกัสกับการแก้ไขปัญหา
  3. ถามตัวเองว่า เรามีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อย่างไร ดังสุภาษิตจีนที่ว่า “ไม่มีทางสู่ความเห็นอกเห็นใจ เพราะความเห็นอกเห็นใจเป็นหนทาง”
    ถามตัวเองว่า เรามีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อย่างไรบ้าง เป็นวิธีหนึ่งของ ความเห็นอกเห็นใจ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกมีส่วนร่วมกับบางคน คุณจะคิดสักนิดว่าอะไรที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนคนนี้ อะไรที่เป็นสิ่งที่ท้าทายหรือเป็นสิ่งที่กำลังไปได้ดีกับเขา และถามตัวเองว่า ความช่วยเหลืออะไรที่จะช่วยให้พวกเขาเอาชนะอุปสรรคของพวกเขาได้ พวกเขาต้องการการสะกิดเตือนอะไรที่เพิ่มการตระหนักรู้หรือรับรู้ในจุดบอดที่สร้างความยุ่งยากให้พวกเขา ไตร่ตรองคำถามเหล่านี้ก่อนที่คุณจะพบกับพวกเขา สิ่งนี้จะช่วยสร้างการปฏิสัมพันธ์ที่มีความเห็นอกเห็นใจมากยิ่งขึ้นที่เน้นไปด้านการเติบโตและการพัฒนาของคนเหล่านี้
  4. ทำให้คนเห็นถึงศักยภาพของตนเอง การเป็นผู้นำคือการส่งเสริมผู้คนด้วยการชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้คนไม่ต้องการเผชิญหน้า
    เราทุกคนต้องการการยอมรับและได้รับความชื่นชม ผู้นำที่ดีให้คุณค่ากับสิ่งที่เราเป็นในตอนนี้ แต่ยังท้าทายเราในการที่ทำให้เราพยายามทำให้ดีขึ้นเพื่อดึงศักยภาพของตัวเราออกมา นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อบางคนทำได้ดีอยู่แล้ว และจะไปผลักดันให้คนเหล่านี้ทำให้ดีขึ้นอีก สิ่งนี้สามารถทำให้พวกเขาท้อใจและหมดกำลังใจได้ แต่การเป็นผู้นำไม่ใช่แค่พยายามทำให้ทุกคนพอใจและสบายใจ แต่การเป็นผู้นำต้องส่งเสริมผู้คนด้วยการชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการเผชิญหน้า แทนที่จะหลีกเลี่ยงจากบทสนทนาที่ไม่สบายใจเหล่านี้ ให้พยายามมองที่บทบาทของคุณในการดึงศักยภาพของคนด้วยการแสดงออกถึงความห่วงใยที่แท้จริง

บทสรุป

จากที่ได้กล่าวมาในบทความว่า การเป็นผู้นำที่มีทั้งสติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจนั้นต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน และในฐานะผู้นำ คุณสามารถนำทั้งสี่ขั้นตอนนี้ไปฝึกฝนและปฏิบัติกันได้ไม่ว่าจะเป็นการจำกฎเหล็ก, การฟังอย่างตั้งใจ, การตั้งคำถามกับตัวเองถึงประโยชน์ต่อผู้อื่น และการดึงศักยภาพของคนในทีมหรือในองค์กรออกมาได้ แล้วเราลองมาดูกันว่าคุณได้ครองใจคนไปได้เท่าไรแล้ว
ทาง Happily.ai แพลตฟอร์มการวิเคราะห์บุคคลากรและสร้างความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน ได้ออกแบบการสร้างวัฒนธรรมที่ช่วยส่งเสริมการรับฟังกันมากขึ้นผ่านการให้ฟีดแบ็ก และเรายังเป็นเครื่องมือหนึ่งสำหรับผู้นำหรือผู้จัดการในการฝึกฝนการเป็นผู้นำที่มีทั้ง สติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจ ผ่านฟีเจอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้และรับฟีดแบ็ก การชื่นชมยินดีกันในองค์กร รวมไปถึงข้อมูลของพนักงานที่เป็น Talent ในองค์กรของคุณด้วย สามารถเยี่ยมชมและทดลองใช้เครื่องมือของเราได้ที่นี่

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.indeed.com/career-advice/career-development/10-common-leadership-styles

[2] https://hbr.org/2020/12/compassionate-leadership-is-necessary-but-not-sufficient

[3] https://hbr.org/2021/11/becoming-a-more-humane-leader

[4] People photo created by rawpixel.com - www.freepik.com